ข้อมูลประเทศเป้าหมาย

ประเทศ มาเลเซีย

ธงและตราสัญลักษณ์
 

 

ไฟล์:Flag of Malaysia.svg ไฟล์:Coat of arms of Malaysia.png
ธง ตราสัญลักษณ์
คำขวัญ

Bersekutu Bertambah Mutu
("ความเป็นเอกภาพคือพลัง")



 
แผนที่
 

ไฟล์:Malaysia (orthographic projection).svg

ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/Malaysia

ไฟล์:Malaysia states named.png

 

มาเลเซียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 13 รัฐ (states - negeri-negeri) และ 3 ดินแดนสหพันธ์* (federal territories - wilayah-wilayah persekutuan) เป็นดินแดนที่รัฐบาลกลางปกครอง เขตการปกครองต่าง ๆ และชื่อเมืองหลวง (ในวงเล็บ) ได้แก่

รัฐ

มาเลเซียตะวันตก (คาบสมุทรมลายู)

มาเลเซียตะวันออก (เกาะบอร์เนียวตอนเหนือ)

ดินแดนสหพันธ์

มาเลเซียตะวันตก

มาเลเซียตะวันออก

 



 
ข้อมูลทั่วไป
 

ชื่ออย่างเป็นทางการ

มาเลเซีย หรือ  Malaysia

ที่ตั้ง

ตั้งอยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตร ประกอบด้วยดินแดนสองส่วน คือ มาเลเซียตะวันตกบนคาบสมุทรมลายู และมาเลเซียตะวันออกบนเกาะบอร์เนียว ระหว่างละติจูดที่ 2 30 องศาเหนือ ลองติจูดที่ 112 30 องศาตะวันออก

พื้นที่

329, 750 ตารางกิโลเมตร พื้นดิน 328, 550 ตารางกิโลเมตร พื้นน้ำ 1,200 ตารางกิโลเมตร

อาณาเขต

พรมแดนยาว 2,669 กิโลเมตร ติดกับประเทศ บรูไน (381 กิโลเมตร) อินโดนีเซีย (1,782 กิโลเมตร) ไทย (506 กิโลเมตร) ความยาวชายฝั่ง 4,675 กิโลเมตร (คาบสมุทรมาเลเซีย 2,068 กิโลเมตร มาเลเซียตะวันออก 2,607 กิโลเมตร)

สภาพภูมิประเทศ

ที่ราบชายฝั่งค่อยๆ ชันขึ้นเป็นทิวเขาและภูเขา

สภาพภูมิอากาศ

ร้อนชื้น อุณหภูมิเฉลี่ย 28 องศาเซลเซียส มีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (เมษายน-ตุลาคม) และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ตุลาคม-กุมภาพันธ์)

ทรัพยากรธรรมชาติ

ดีบุก ปิโตรเลียม ไม้ซุง ทองแดง สินแร่เหล็ก ก๊าซธรรมชาติ บ๊อกไซต์

ภัยธรรมชาติ

น้ำท่วม แผ่นดินถล่ม ไฟไหม้ป่า

จำนวนประชากร

29,628,392 คน (ค่าประมาณ เดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2556)

อัตราการเติบโตของประชากร

1.542% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)

สัญชาติ

มาเลเซีย (Malaysian (s))

เชื้อชาติ

มาเลย์ 50.4% จีน 23.7% ชนพื้นเมือง 11% ชาวอินเดีย 7.1% อื่นๆ 7.8%

ศาสนา

อิสลาม (ศาสนาประจำชาติ 60.4%) พุทธ (19.2%) คริสต์ (11.6%) ฮินดู (6.3%) อื่น ๆ (2.5%)

ภาษา

มาเลย์ (Bahasa Malaysia เป็นภาษาราชการ) อังกฤษ จีน (แต้จิ๋ว จีนกลาง ฮกเกี้ยน ฮักกา ไห่หนาน ฟูโจว์) ทมิฬ

 

หมวดของข่าว : ลงทุนต่างประเทศ , ลงทุนอาเซียน ,  ข้อมูลการลงทุน

 

รูปแบบการปกครอง

ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy)

เมืองหลวง

กรุงกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) เมืองราชการคือ เมืองปุตราจายา (Putrajaya)

การแบ่งเขตการปกครอง

มาเลเซียตะวันตก ตั้งอยู่บนคาบสมุทรมลายู ประกอบด้วย11 รัฐ คือ ปะหัง สลังงอร์ เนกรีเซมบิลัน มะละกา ยะโฮร์ เประ กลันตัน ตรังกานู ปีนัง เกดะห์ และปะลิส มาเลเซียตะวันออก ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว (กาลิมันตัน) ประกอบด้วย 2 รัฐ คือ ซาบาห์ และซาราวัก นอกจากนี้ยังมีเขตการปกครองภายใต้สหพันธรัฐ อีก 3 เขต คือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ (เมืองหลวง) เมืองปุตราจายา (เมืองราชการ) และเกาะลาบวน

แผนที่การแบ่งเขตการปกครอง

 

ที่มา: www.mapsofworld.com

วันที่ได้รับเอกราช

31 สิงหาคม พ.ศ. 2500 จากสหราชอาณาจักร   

รัฐธรรมนูญ  

ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2500 แต่มีการแก้ไขหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2550

ฝ่ายบริหาร

มาเลเซียมีระบอบการปกครองแบบสหพันธรัฐ โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดี (Yang-diPertuan Agong) เป็นประมุข ซึ่งมาจากการเลือกตั้งจากเจ้าผู้ปกครองรัฐ 9 แห่ง (ยะโฮร์ ตรังกานู ปะหัง สลังงอร์ เกดะห์ กลันตัน เนกรีเซมบิลัน เประ และปะลิส) และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นดำรงตำแหน่ง วาระ 5 ปี การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีขึ้นในปี 2011 นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลสหพันธรัฐ และมุขมนตรีแห่งรัฐ (Menteri Besar ในกรณีที่มีเจ้าผู้ปกครองรัฐ หรือ Chief Minister ในกรณีที่ไม่มีเจ้าผู้ปกครองรัฐ) เป็นหัวหน้ารัฐบาลแห่งรัฐ

ฝ่ายนิติบัญญัติ

ระบบ 2 สภา (Bicameral Parliament หรือ Parlimen) ประกอบด้วยวุฒิสภา (Senate หรือ Dewan Negara) ซึ่งมีสมาชิก 70 ที่นั่ง กษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง 44 ที่นั่ง อีก 26 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งของตัวแทน 13 รัฐ วาระ 3 ปีและสามารถดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 วาระเท่านั้น และ สภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives หรือ Dewan Rakyat) สมาชิกจำนวน 222 ที่นั่ง มาจากการเลือกตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายน 2013

 ฝ่ายตุลาการ

ประเทศมาเลเซียบนคาบสมุทรเพนนินซูลา ศาลแพ่งประกอบด้วย ศาลสหพันธรัฐ (Federal Court) ศาลอุทธรณ์ และศาลสูง สำหรับศาลของซาบาห์และซาราวัคบทเกาะบอร์เนียวประกอบด้วยศาลฎีกา ซึ่งผู้พิพากษาได้รับแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ โดยคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี

ศาลชาเรีย (Sharia Courts) ประกอบด้วย ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา และศาลระดับรัฐ (Subordinate Courts at State-Level) ตัดสินคดีความเกี่ยวกับศาสนาและครอบครัวสำหรับมุสลิม คำพิพากษาจากศาลชาเรียไม่สามารถนำมาอุทธรณ์ในศาลแพ่งได้

ระบบกฎหมาย

กฎหมายจารีตประเพณีอังกฤษ (English Common Law) โดยมีการใช้กฎหมายอิสลาม (Islamic Law) ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชาวมุสลิม (ครอบครัวและศาสนา) ไม่ยอมรับเขตอำนาจโดยบังคับของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)

การเมือง

พรรค UMNO มีแนวนโยบายบริหารประเทศเน้นชาตินิยมแต่ไม่รุนแรง สนับสนุนชาวมาเลย์ให้มีสิทธิในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศทั้ง ด้านการเมืองและเศรษฐกิจ แนวนโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศหลัก ๆ สรุปได้ดังนี้

  1. ดำเนินนโยบายอย่างเป็นอิสระไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยเฉพาะประเทศตะวันตก
  2. พยายามเข้าไปมีบทบาทนำในอาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะกลุ่มประเทศมุสลิม เพื่อเป็นพลังต่อรองกับประเทศตะวันตกในเวทีระหว่างประเทศ
  3. พัฒนาการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบของประเทศตะวันตกมีแนวดำเนินการของตนเองและให้ความ สำคัญต่อเรื่องความมั่นคงภายในประเทศเป็นสำคัญ

หลังจาก ตุน ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31ตุลาคม 2546 ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2546 ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2547 มาเลเซียจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป (หลังการยุบสภาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2547) ซึ่งผลปรากฏว่า พรรค UMNO และกลุ่มพรรคแนวร่วมแห่งชาติ Barison Nasional (BN) ภายใต้การนำของดาโต๊ะซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ได้รับชัยชนะเหนือพรรคร่วมฝ่ายค้าน (BA) ซึ่งมีพรรค PAS เป็นแกนนำ โดยได้คะแนนเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเกิน 2 ใน 3

พรรคฝ่ายค้านยังคงไม่มีศักยภาพเพียง พอที่จะท้าทายอำนาจและเสถียรภาพของรัฐบาล แม้การก้าวลงจากอำนาจของ ดร.มหาธีร์ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นและคะแนนนิยมของประชาชนต่อพรรค UMNO ในระดับหนึ่ง แต่ผลการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมีนาคม 2547 แสดงให้เห็นว่า พรรค UMNO ยังคงสามารถเป็นแกนนำของกลุ่ม BN ในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป ประเด็นที่จะบั่นทอนเสถียรภาพและความมั่นคงของพรรครัฐบาลและพรรค UMNO ที่สำคัญได้แก่ ความแตกแยกภายในพรรค UMNO เอง ซึ่งยังคงมีอยู่ในระดับหนึ่งอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความไม่ลงรอยกันระหว่าง กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ภายในพรรค แม้ว่าจะไม่ปรากฏให้เห็นภาพความขัดแย้งที่แจ้งชัด

เมื่อวันที่ 13-19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 พรรค UMNO ได้จัดการประชุมสมัชชาพรรคสมัยสามัญประจำปี 2549 โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะหัวหน้าพรรค UMNO ได้รายงานผลงานและความพยายามของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรค UMNO ว่า (1) ได้ปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้แก่ประชาชน อาทิ การนำเสนอมาตรการในแผนพัฒนามาเลเซีย ฉบับที่ 9 (2) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะการส่งเสริมการศึกษา (3) ย้ำความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจโดยการสร้างแหล่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ใหม่ ๆ และการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม (4) ส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของภาคราชการ (5) รัฐบาลได้เปิดกว้างรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นทั้งจาก ส.ส. และจากประชาชน (6) ใช้แนวทางทางการทูตและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และย้ำว่าชาวมุสลิมควรปรองดองกัน (7) ส่งเสริมความสมานฉันท์ของคนในชาติ (8) ย้ำหลักการอิสลามสายกลาง หรือ Islam Hadhari

ที่ประชุมพรรค UMNO ยืนยันให้การสนับสนุนหัวหน้าพรรค แต่หลีกเลี่ยงการกล่าวโจมตี ตุน ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าพรรค UMNO ที่ในระยะหลังมีความคิดขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน (ตุน ดร.มหาธีร์ฯ มิได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ เพราะอยู่ในช่วงพักรักษาตัวจากโรคหัวใจ) แม้พรรค UMNO จะสนับสนุนคนเชื้อสายมาเลย์ แต่พรรคก็ต้องระมัดระวังในการรักษาความสมดุลระหว่างคนเชื้อชาติอื่น ๆ ในมาเลเซียด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ ในการอภิปรายระหว่างการประชุมครั้งนี้ สมาชิกบางกลุ่มได้กล่าวโจมตีสิทธิของคนเชื้อชาติอื่น ๆ ทำให้นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวในวันปิดประชุมว่าสมาชิกพรรคต้องคำนึงถึง สิทธิของคนเชื้อชาติต่างๆ อย่างเป็นธรรม 

การปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549

นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ บาดาวี ได้ปรับคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาล ในการนี้มีรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการได้รับแต่งตั้งให้ดำรง ตำแหน่งใหม่รวม 22 ตำแหน่ง (รัฐมนตรีว่าการ 7 ตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการ 15 ตำแหน่ง) โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซียยืนยันว่าการแต่งตั้งและปรับเปลี่ยนบุคคลเข้าดำรง ตำแหน่งต่าง ๆ ได้พิจารณาจากความรู้ความสามารถ ประสบการณ์และความรับผิดชอบ และที่สำคัญต้องทำงานเป็นทีมได้ ส่วนบุคคลที่หลายฝ่ายให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ ดาโต๊ะ ซรี ราฟิดาห์ อาซิซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ในคณะ รัฐมนตรีมานานกว่า 24 ปี ก็ยังดำรงตำแหน่งเดิมอยู่ แม้ก่อนหน้านี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการออกใบอนุญาต นำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศจนเกิดความขัดแย้งกับ ตุน ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในการนี้ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ให้เหตุผลว่ารัฐบาลมาเลเซียจำเป็นต้องพึ่งพาผู้มีประสบการณ์และ ความเชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับของประชาคมธุรกิจระหว่างประเทศอย่างดาโต๊ะ ซรี ราฟิดาห์ อย่างไรก็ตาม การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อนโยบายหลักของรัฐบาลมาเลเซีย รวมทั้งจะไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างมาเลเซียและไทย

นโยบายความมั่นคงของมาเลเซีย

  1. ดำเนินยุทธศาสตร์ทางการเมืองโดยยึด อาเซียนเป็นหลักในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ เพื่อให้มีการรับรองและปฏิบัติอย่างจริงจังที่จะให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออก /ตะวันตก เป็นดินแดนที่เป็นกลางและสันติสุข ทั้งนี้เพื่อให้มาเลเซียปลอดภัยจากการรุกรานจากภายนอก
  2. แสวงหามิตรประเทศที่มีศักยภาพทาง ทหารอย่างเพียงพอที่จะป้องปรามการกระทำใด ๆ อันจะกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของมาเลเซียตลอดจนการเตรียมกองทัพให้ทันสมัย มีอานุภาพ
    เพียงพอที่จะป้องกันประเทศในระยะต้นก่อนการช่วยเหลือจากมิตรประเทศ
  3. พัฒนากองทัพ โดยเฉพาะกองกำลังภาคพื้นดินให้เข้มแข็ง เน้นขีดความสามารถในการทำสงครามตามแบบ (conventional) เพื่อป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอก
  4. ปรับปรุงกองกำลังทางเรือให้สามารถ ป้องกันการแทรกซึม และการยกพลขึ้นบก ตลอดจนปราบปรามการลักลอบค้าของหนีภาษี และการลักลอบทำประมงในน่านน้ำ

ในอนาคตอันใกล้ ยังไม่มีสิ่งบอกเหตุว่ามาเลเซียจะมีความขัดแย้งกับต่างประเทศจนถึงกับต้อง ใช้กำลังทหารในการเผชิญหน้า เนื่องจากมาเลเซียย้ำเสมอว่าต้องการใช้กรอบเจรจาทางการทูตมากกว่าการใช้ กำลังพล แต่อาจจะมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ อาทิ อาชญากรรมข้ามชาติ การลักลอบเข้าเมือง การลักลอบค้าแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งมาเลเซียพยายามจะใช้การเจรจาทวิภาคีเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 12

นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ได้ประกาศยุบสภาสมัยที่ 11 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 12 ซึ่งถือเป็นการประกาศยุบสภาก่อนที่จะหมดวาระตามปกติถึง 25 เดือน (หมดวาระในวันที่ 16 พฤษภาคม 2552)

การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 12 ของมาเลเซียมีขึ้นเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2551 โดยเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 222 ที่นั่ง และสมาชิกสภานิติบัญญัติใน 12 รัฐ จำนวน 505 คน โดยพรรคร่วมรัฐบาล Barisan National (BN) หรือพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ซึ่งนำโดยพรรค UMNO ได้รับเลือก 140 ที่นั่ง ซึ่งน้อยกว่าที่เคยได้รับเลือกในปี 2547 อย่างไรก็ดี ยังคงมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาล

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2551 ได้มีการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดย ครม. ชุดใหม่นี้ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการ 32 คน และรัฐมนตรีช่วยว่าการ 37 คน รวม 69 คน และมีดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ตุน ราซัค ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และมีดาโต๊ะ ซรี ดร. อูตามา ราอิส ยาติม ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2552 ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ได้ประกาศส่งมอบตำแหน่งประธานพรรค UMNO ให้แก่ ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค และได้ส่งมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2552

ปัจจุบัน ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 6 ของมาเลเซีย โดยมี ดาโต๊ะ ซรี ดร.อาหมัด ซาฮิด ฮามิดิ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ ดาโต๊ะ อานิฟาห์ บิน ฮัจญี อามาน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

นโยบายต่างประเทศ

เดิมนโยบายต่างประเทศของมาเลเซียมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การปกป้องและส่งเสริม ผลประโยชน์แห่งชาติด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และผลประโยชน์ที่สำคัญอื่น ๆ แต่เมื่อดาโต๊ะ ซรี ดร.มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเมื่อปี 2524 นโยบายต่างประเทศมาเลเซียได้เน้นความสำคัญด้านเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังส่งเสริมความเป็นชาตินิยมอย่างเข้มแข็ง (strong and nationalistic defense) เพื่อรักษาผลประโยชน์ รวมทั้งสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน (south-south cooperation) มาเลเซียเห็นว่าปัจจัยสำคัญที่อาจบั่นทอนเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกคือราคา น้ำมันที่สูงขึ้นซึ่งเป็นการเพิ่มภาระแก่ประเทศกำลังพัฒนา และอาจเป็นเหตุให้เกิดการแข่งขันและความขัดแย้งในการแย่งชิงตลาดและทรัพยากร ธรรมชาติ ซึ่งมาเลเซียเห็นว่าสหประชาชาติต้องเตรียมรับมือกับประเด็นดังกล่าวที่อาจ ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ในอนาคต 

มาเลเซียเห็นว่าหลักการ Islam Hadhari หรืออิสลามสายกลางจะช่วยส่งเสริมเสถียรภาพระหว่างประเทศ เพราะหลักการดังกล่าวเน้นการสร้างความก้าวหน้าและการพัฒนาโดยส่งเสริมการ ศึกษา การแสวงหาความรู้ และการใช้หลักธรรมาภิบาล ตลอดจนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมที่มีผู้คนหลายเชื้อชาติและศาสนา นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวในหลายวาระโอกาสว่ามาเลเซียเป็นพหุสังคมที่ ประชาชนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติเพราะเข้าใจคุณค่าของความแตกต่างซึ่งเป็น จุดแข็งข้อหนึ่งของการพัฒนาประเทศ ซึ่งประชาคมโลกน่าจะทำความเข้าใจในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อป้องกันมิให้ช่องว่างระหว่างโลกมุสลิมและโลกตะวันตก ขยายตัวขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมากล่าวได้ว่ามาเลเซียประสบความสำเร็จในเวทีระหว่างประเทศ อย่างสูง โดยสามารถสร้างบทบาทให้เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้นำประเทศกำลังพัฒนาและเป็น ประเทศมุสลิมสายกลางซึ่งมีแนวนโยบายสอดคล้องกับประเทศตะวันตกในเรื่องของการ ต่อต้านการก่อการร้าย ทำให้มาเลเซียสามารถมีบทบาทนำในเวทีการเมืองระหว่างประเทศได้ทั้งในกรอบของ โลกมุสลิมและโลกตะวันตก

 

หมวดของข่าว : ลงทุนต่างประเทศ , ลงทุนอาเซียน ,  ข้อมูลการลงทุน

 

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP)

492.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)

GDP รายบุคคล

16,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)

อัตราการเจริญเติบโต GDP

4.5% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)

GDP แยกตามภาคการผลิต

  • ภาคการเกษตร 11.9%
  • ภาคอุตสาหกรรม 41.2%
  • ภาคการบริการ 46.8% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)

อัตราการว่างงาน

3.2% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)

อัตราเงินเฟ้อ (Consumer Prices)

1.9% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)

ผลผลิตทางการเกษตร

  • มาเลเซียตะวันตก (บนคาบสมุทรมาเลเซีย): ยาง น้ำมันปาล์ม โกโก้ ข้าว
  • รัฐซาบาห์: การเกษตรเพื่อดำรงชีพ ยาง ไม้ซุง มะพร้าว ข้าว
  • รัฐซาราวัก: ยาง พริกไทย ไม้ซุง

อุตสาหกรรม

  • มาเลเซียตะวันตก (บนคาบสมุทรมาเลเซีย): ยาง กระบวนการแปรรูปและผลิตน้ำมันปาล์ม  การทำเหมืองและถลุงแร่ดีบุก  การแปรรูปไม้ซุง
  • รัฐซาบาห์: การทำไม้ซุง การผลิตน้ำมันปิโตรเลียม
  • รัฐซาราวัก: แปรรูปเกษตรกรรม การผลิตและการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม การทำไม้ซุง

อัตราการเกิบโตภาคอุตสาหกรรม

1.4% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554)

หนี้สาธารณะ

53.5% ของ GDP (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)

ดุลบัญชีเดินสะพัด

22.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)

มูลค่าการส่งออก

247 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ f.o.b (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)

สินค้าส่งออก

อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ การผลิตปิโตรเลียมและก๊าซเหลว ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ น้ำมันปาล์ม ยาง สิ่งทอ เคมีภัณฑ์

ประเทศคู่ค้า (ส่งออก)ที่สำคัญ

สิงคโปร์ 12.7% สหรัฐอเมริกา 8.3% จีน 13.1% ญี่ปุ่น 11.5% ไทย 5.1% ฮ่องกง 4.5% อินเดีย 4.1% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554)

มูลค่าการนำเข้า

202.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)

สินค้านำเข้า

อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม พลาสติก พาหนะ เหล็กและเหล็กกล้า เคมีภัณฑ์

ประเทศคู่ค้า (นำเข้า)ที่สำคัญ

สิงคโปร์ 12.8% จีน 13.2% ญี่ปุ่น 11.4% สหรัฐอเมริกา 9.7% ไทย 6.2% อินโดนีเซีย 6.1% ไทย 6% เกาหลีใต้ 4% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) 

สกุลเงิน

ริงกิตมาเลเซีย (Ringgit)

สัญลักษณ์เงิน

MYR

อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา

คลิกเพื่อตรวจสอบอัตราการแลกเปลี่ยนจากธนาคารแห่งประเทศไทย

 

นโยบายด้านเศรษฐกิจ

(1) เปิดรับการค้า การลงทุน และการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากตะวันตก เพื่อพัฒนาประเทศไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2563 (Vision 2020) ตามที่อดีตนายกรัฐมนตรี ตุน ดร. มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด ได้ตั้งเป้าหมายไว้

(2) ใช้นโยบายการเมืองนำเศรษฐกิจเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์และโอกาสทางการค้าแก่ประเทศ 

(3) ขยายการติดต่อด้านเศรษฐกิจและการค้ากับประเทศกำลังพัฒนาเพื่อลดการพึ่ง พาตลาดสหรัฐฯ และยุโรป อาทิ มาเลเซียในฐานะประธานองค์การการประชุมอิสลาม (Organisation of Islamic Conference - OIC) ให้ความสำคัญกับการรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก OIC (รวม 57 ประเทศ) โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ธนาคารอิสลาม การศึกษา และการท่องเที่ยว 

มาเลเซียได้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจสืบต่อจาก Vision 2020 คือนโยบายวิสัยทัศน์แห่งชาติ (National Vision Policy: NVP) ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างมาเลเซียให้เป็น "ประเทศที่มีความยืดหยุ่นคงทนและมีความสามารถในการแข่งขัน" โดยจะลดความสำคัญของการลงทุนที่ทำให้เกิดการเจริญเติบโตที่ไม่ยั่งยืนและขาด ประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญต่อประเด็นใหม่คือ การเติบโตที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม โดยจะเน้นการลงทุนที่มีการค้นคว้าและวิจัย (R & D) และเทคโนโลยีสูง ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานความรู้ (knowledge-based economy) กระตุ้นและเพิ่มพลวัตรของภาคการเกษตร การผลิต และการบริการโดยการใช้ความรู้และเทคโนโลยีวิทยาการ เพิ่มการมีส่วนร่วมของภูมิบุตร ในภาคเศรษฐกิจชั้นนำ และปรับให้มีการพัฒนาการทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับสังคมบนฐานความรู้ (knowledge-based society)ในช่วงที่ผ่านมามาเลเซียมีความสัมพันธ์ด้านการเมืองที่ไม่ราบรื่น นักกับประเทศตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ เนื่องจากประเทศตะวันตกมองว่ารัฐบาลมาเลเซียมักใช้กฎหมายว่าด้วยความมั่นคง ภายใน (Internal Security Act - ISA) เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่มาเลเซียถือว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายในประเทศ และประเทศตะวันตกมักใช้ double standard ในการดำเนินนโยบายกับประเทศต่าง ๆ ทั้งนี้ วิกฤตการณ์ด้านการเงินและการคลังที่เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ ในปัจจุบัน เป็นผลจากการเปิดเสรีด้านการเงินและการคลัง ซึ่งประเทศตะวันตกผลักดันอย่างแข็งขัน 

พัฒนาการที่สำคัญ

แม้ว่ารัฐบาลมาเลเซียจะประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและส่งผลให้ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดในปี 2545 แต่ความสำเร็จดังกล่าวยังมีอุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ แฝงอยู่ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของมาเลเซียโดยรวมได้ อาทิ การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ (mega projects) ของรัฐบาลไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แม้ว่าในเบื้องต้นจะมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก แต่หากโครงการเหล่านี้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ อาทิ โครงการก่อสร้างสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ ซึ่งปัจจุบันใช้งานไม่ถึงครึ่งของขีดความสามารถและยังไม่สามารถดึงดูดให้สาย การบินหลักๆ มาใช้บริการ โครงการ Cyberjaya ซึ่งยังไม่สามารถดึงดูดบริษัทชั้นนำของโลกให้เข้ามาลงทุนได้ตามเป้าหมายที่ กำหนด เป็นต้น

ในช่วงปี 2549 - 2550 สภาวะเศรษฐกิจของมาเลเซียในภาพรวมขยายตัวเพิ่มขึ้น เห็นได้จากอัตราการว่างงานที่ลดลง รายได้ประชาชาติต่อหัว การกระจายรายได้ และรายได้เฉลี่ยต่อครอบครัวที่เพิ่มขึ้น การลงทุนของบริษัทเอกชนและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลที่มีปริมาณเพิ่ม ขึ้น และการได้ดุลบัญชีเดินสะพัด รวมทั้งการปรับอันดับความสามารถในการแข่งขัน (world competitive rankings) จากอันดับที่ 28 ในปี พ.ศ. 2548 เป็นอันดับที่ 19 ในปี 2551 เป็นต้น 

ทั้งนี้ ทางการมาเลเซียคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งหลังของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ฉบับที่ 9 (ตั้งแต่เดือนกันยายน 2551 - 2553) อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของมาเลเซียจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 เนื่องจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และการขยายตัวของธุรกิจภาคบริการและภาคการก่อสร้าง ซึ่งจะช่วยชดเชยกับภาวะซบเซาและการขยายตัวในอัตราที่ต่ำลงของธุรกิจและ กิจกรรมในภาคเกษตรกรรม เหมืองแร่ และอุตสาหกรรมซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยจากภายนอกประเทศ (อาทิ ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำและราคาน้ำมันแพง) โดยจะมีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ประมาณร้อยละ 3 - 4 และการขยายตัวในธุรกิจการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6 - 10

เศรษฐกิจมาเลเซียไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเงินของสหรัฐฯ มากนัก เนื่องจากภาคการเงินและการธนาคารสามารถป้องกันผลกระทบจากสหรัฐฯ และยุโรปได้ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม โดยที่ประเทศคู่ค้าที่สำคัญของมาเลเซียประสบปัญหาและได้รับผลกระทบจากภาวะ เศรษฐกิจโลกถดถอย จึงส่งผลกระทบต่อการส่งออกและภาคบริการ (เช่น การท่องเที่ยว และการขนส่ง) และทำให้เศรษฐกิจมาเลเซียขยายตัวได้น้อยลง ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียได้นำนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ มาปรับใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาทิ การลดอัตราดอกเบี้ย การส่งเสริมการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน เอเชียตะวันออก อินเดีย และตะวันออกกลาง และการส่งเสริมการลงทุนจากประเทศผู้ผลิตน้ำมัน อย่างไรก็ดี ความมั่นคงทางการเมืองจะเป็นประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติ จะใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจเข้าไปลงทุนในมาเลเซีย



 
ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-มาเลเซีย
 

 

มูลค่าการค้ารวม

ปี 2551 การค้าไทย-มาเลเซียมีมูลค่า 19,636.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 19.47

มูลค่าการส่งออก

ปี 2551 ไทยส่งออกไปมาเลเซียมูลค่า 9,910.47 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 26.75

มูลค่าการนำเข้า

ปี 2551 ไทยนำเข้าจากมาเลเซียมูลค่า 9,726.02 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 12.87

ดุลการค้า

ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ากับมาเลเซีย ในปี 2551 ไทยได้ดุลการค้าดุลมูลค่า 184.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สินค้าไทยส่งออกไปมาเลเซีย

เครื่องคอมพิวเตอร์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า ยางพารา

สินค้านำเข้าจากมาเลเซีย

น้ำมันดิบและแร่เชื้อเพลิง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์

ด้านการลงทุน

ในปี 2551 นักลงทุนมาเลเซียได้รับอนุมัติจาก BOI จำนวน 46 โครงการ (จาก 40 โครงการที่ยื่นขอ) คิดเป็นมูลค่า 25,219.1 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 39.3 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

ด้านการท่องเที่ยว

ในปี 2551 นักท่องเที่ยวมาเลเซียมาไทย 1.89 ล้านคน และมีนักท่องเที่ยวไทยไปมาเลเซียประมาณ 1.49 ล้านคน (สถิติปี 2551) 

ความร่วมมือในกรอบ JDS

เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2547 นายกรัฐมนตรีไทยและมาเลเซียได้เห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการว่าด้วย ยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย (Thailand-Malaysia Committee on Joint Development Strategy for border areas - JDS) โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือการพัฒนาความกินดีอยู่ดีของประชาชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (สงขลา ยะลา สตูล ปัตตานี และนราธิวาส) กับ 4 รัฐภาคเหนือของมาเลเซีย (ปะลิส เกดะห์ กลันตัน และเประ เฉพาะอำเภอเปิงกาลันฮูลู) โดยมีโครงการความร่วมมือหลายสาขา อาทิ การพัฒนาโครงการพื้นฐานและการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การท่องเที่ยว การเกษตร ประมง และปศุสัตว์ เป็นต้น ความร่วมมือในกรอบ JDS จะสนับสนุนความร่วมมือในกรอบการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย -มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) ที่ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2536

หมวดของข่าว : ลงทุนต่างประเทศ , ลงทุนอาเซียน ,  ข้อมูลการลงทุน

 

1. ด้านการทูต

ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับมาเลเซียเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2500 เอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์คนปัจจุบันคือ นายธนะ ดวงรัตน์ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมิถุนายน 2552 นอกจากนี้ ไทยยังมีสถานกงสุลใหญ่ในมาเลเซีย 2 แห่ง (สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองปีนัง และสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองโกตาบารู) และมีสถานกงสุลประจำเกาะลังกาวี (ซึ่งมีดาโต๊ะ ชาซรีล เอสเคย์ บิน อับดุลลาห์ กงสุลกิตติมศักดิ์เป็นหัวหน้าสำนักงาน) สำหรับหน่วยงานของส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ภายใต้สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้แก่ สำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ สำนักงานแรงงาน ส่วนหน่วยงานของไทยอื่นๆ ที่ตั้งสำนักงานในมาเลเซียคือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัทการบินไทย สำหรับหน่วยงานของมาเลเซียในไทยได้แก่ สถานเอกอัครราชทูตมาเลเซีย (เอกอัครราชทูตมาเลเซียคนปัจจุบันคือ ดาโต๊ะ ชารานี บิน อิบราฮิม) และสถานกงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา

2. ด้านการเมือง

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียได้พัฒนาแน่นแฟ้นจนมีความใกล้ชิดกันมาก เนื่องจากทั้งสองประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันหลายประการ การแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับต่าง ๆ ทั้งระดับพระราชวงศ์ชั้นสูง รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ แต่แม้ว่าสองฝ่ายจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน ก็ยังคงมีประเด็นปัญหาในความสัมพันธ์ ซึ่งต้องร่วมมือกันแก้ไข อาทิ การปักปันเขตแดนทางบก บุคคลสองสัญชาติ การก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น

นโยบายของไทยต่อมาเลเซียเน้นมุ่งส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็งให้ความสัมพันธ์ทุกระดับงอกงามอยู่บนพื้นฐานของ การใช้เหตุผล เคารพซึ่งกันและกันในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ดี เพราะเหตุการณ์ในประเทศหนึ่งย่อมจะส่งผลเกื้อหนุนหรือกระทบต่ออีกประเทศ หนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

3. สังคมและวัฒนธรรม

• ด้านสังคม ไทยกับมาเลเซียมีความใกล้ชิดกันในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการไปมาหาสู่ กันในฐานะเครือญาติและเพื่อนฝูง ซึ่งนำไปสู่ความร่วมมือกันทั้งในด้านการค้าและด้านอื่น ๆ ทั้งสองประเทศมีโครงการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมระหว่างกัน รวมทั้งความร่วมมือด้านการบริหารจัดการสัญจรข้ามแดนเพื่ออำนวยความสะดวกให้ แก่ประชาชนในพื้นที่และส่งเสริมการติดต่อด้านการค้าและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังอนุญาตให้คนถือสัญชาติของอีกฝ่ายหนึ่งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ชายแดนใช้บัตรผ่านแดนซึ่งออกให้โดยหน่วยงานปกครองท้องถิ่นของแต่ละฝ่ายแทน การใช้หนังสือเดินทางเพื่อผ่านด่านพรมแดนระหว่างกันได้

• ด้านศาสนาและวัฒนธรรม มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นำศาสนาอิสลาม ทั้งในระดับจุฬาราชมนตรีและผู้นำศาสนา ทั้งจากส่วนกลางและในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการบริหาร จัดการโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามและวิทยาลัยอิหม่าม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านกิจการศาสนาอิสลาม

• ด้านวิชาการ ทั้งสองประเทศมีการประชุมความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกันเพื่อทบทวนและ ติดตามผลการดำเนินงานของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งมีสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ และ Economic Planning Unit (EPU) ของมาเลเซียเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงาน ความร่วมมือในกรอบทวิภาคีที่ฝ่ายไทยให้แก่ฝ่ายมาเลเซีย ได้แก่ การจัดหลักสูตรประจำปี (Annual International Training Course: AITC) หลักสูตรศึกษานานาชาติ (Thai International Postgraduate Programme: TIPP) ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (Technical Cooperation Among Development Country: TCDC) และยังร่วมกันจัดการฝึกอบรมให้กับประเทศที่สาม (Third Country Training Programme: TCTP) ส่วนมาเลเซียได้แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการให้ทุนฝึกอบรมประจำปีภายใต้ โครงการ Malaysia Technical Cooperation Programme (MTCP) ในสาขาต่าง ๆ ให้แก่ประเทศไทย เพื่อให้คัดเลือกผู้ไปรับการฝึกอบรมที่มาเลเซีย โดยในช่วง พ.ศ. 2540-2548 มีชาวไทยได้รับทุนดังกล่าวรวม 165 ทุน

4. ความตกลงที่สำคัญกับไทย มีอาทิ

1. ความตกลงว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกรุงสยาม-อังกฤษ (ลงนามเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2454) 
2. ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกของการเดินรถไฟ (ลงนามเมื่อปี 2465)
3. ความตกลงว่าด้วยการจราจรข้ามแดน (ลงนามเมื่อปี 2483)
4. ความตกลงว่าด้วยการคมนาคมและขนส่งทางบก (ลงนามเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2497)
5. ความตกลงว่าด้วยการเดินรถไฟร่วม (ลงนามเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2497)
6. ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ (ลงนามเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2505)
7. ความตกลงว่าด้วยการบริการเดินอากาศ (ลงนามเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2509)
8. ความตกลงว่าด้วยการศุลกากร (ลงนามเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2511)
9. ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตรา (ลงนามเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2513)
10. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการประมง (ลงนามเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2514)
11. ความตกลงว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดน (ลงนามเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2515)
12. ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรร่วมมาเลเซีย - ไทย (ลงนามเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2522)
13. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการเกษตร (ลงนามเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2522)
14. ความตกลงว่าด้วยการแบ่งเขตทางทะเล / ทะเลอาณาเขต (ลงนามเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2522)
15. ความตกลงว่าด้วยการแบ่งเขตไหล่ทวีป (ลงนามเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2522)
16. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่ายผ่านแดนมาเลเซียไปยังสิงคโปร์ (ลงนามเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2522)
17. ความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าไป-กลับระหว่างฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตกของ มาเลเซียผ่านแดนไทยโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (ลงนามเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2523)
18. ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน (ลงนามเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2525)
19. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาลุ่มน้ำโก-ลก (ลงนามเมื่อเดือนพฤษภาคม 2526)
20. ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมไทย-มาเลเซีย (ลงนามเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2530)
21. ความตกลงว่าด้วยการเดินเรือข้ามฟากบริเวณปากแม่น้ำโก-ลก (ลงนามเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2533)
22. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา (ลงนามเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2536)
23. ความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (ลงนามเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2538)
24. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านยางพารา (ลงนามเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2542)
25. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือชายแดน (ลงนามเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2543)
26. ความตกลงว่าด้วยการค้าทวิภาคี (ลงนามเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2543)
27. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดทำ Bilateral Payment Arrangement (Account Trade) (ลงนามเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2544) 
28. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ 3 ฝ่าย ด้านยางพารา อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (ลงนามเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2545)
29. บันทึกความเข้าใจเพื่ออำนวยความสะดวกด้านพิธีการในการเคลื่อนย้ายสินค้า (ลงนามเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2546)
30. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ไทยกับมาเลเซีย (ลงนามเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2546)
31. ความตกลงโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลกแห่งที่ 2 เชื่อมบ้านบูเก๊ะตา อ.แว้ง จ.นราธิวาส กับบ้านบูกิตบุหงา รัฐกลันตัน (ลงนามเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547) 
32. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิชาการในการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลา ลระหว่างสถาบันมาตรญานอาหารฮาลาลแห่งประเทศไทยและศูนย์อาหารฮาลาลจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยกัล Halal Industry Development Corporation และ World Halal Forum แห่งมาเลเซีย (7 พฤษภาคม 2550) 
33. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางการศึกษา (ลงนามเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2550)

5. การเยือนของผู้นำระดับสูง


ฝ่ายไทย


พระราชวงศ์


- เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2544 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จเยือนมาเลเซีย
- เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2547 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จฯ เยือนรัฐกลันตันอย่างเป็นทางการ ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของสุลต่านแห่งรัฐกลันตัน เพื่อทรงร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำในวโรกาสที่สุลต่านแห่งรัฐกลันตันทรงครอง ราชย์ครบ 25 ปี
- เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จฯ เยือน
รัฐกลันตันเพื่อทรงร่วมงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำในวโรกาสพิธีอภิเษกสมรสของม กุฏราชกุมารรัฐกลันตันกับ น.ส.กังสดาล พิพิธภักดี (สตรีไทยที่มีภูมิลำเนาที่ จ.ปัตตานี)
- เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม - 1 กันยายน 2550 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ แทนพระองค์ พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เพื่อทรงร่วมพิธีฉลอง 50 ปี การได้รับเอกราชของมาเลเซีย

รัฐบาล


- เมื่อวันที่ 24-25 เมษายน 2544 นายกรัฐมนตรีเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ 
- เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2544 นายกรัฐมนตรีเยือนมาเลเซียเพื่อร่วมพิธีเปิด SEA GAMES
- เมื่อวันที่ 8-9 มีนาคม 2544 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ 
- เมื่อวันที่ 27-28 กรกฎาคม 2546 นายกรัฐมนตรีเยือนเกาะลังกาวีเพื่อประชุมหารือประจำปี (Annual Consultation) ครั้งที่ 1 
- เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2547 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยือนมาเลเซียในฐานะผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี
- เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2547 นายกรัฐมนตรีเยือนมาเลเซีย
- เมื่อวันที่ 9-12 มิถุนายน 2548 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ
- เมื่อวันที่ 9-10 สิงหาคม 2548 รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) เดินทางเยือนมาเลเซียในฐานะผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) ของนายกรัฐมนตรีเพื่อหารือเรื่องความร่วมมือด้านความมั่นคง 
- เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2548 รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) เยือนมาเลเซียในฐานะผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) ของนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าร่วมพิธีศพภริยานายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
- เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2548 รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิตย์) เดินทางเยือนมาเลเซีย
- เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 นายกรัฐมนตรี (พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์) เยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ 
- เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2550 นายกรัฐมนตรี (พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์) เข้าร่วมการประชุม Langkawi International Dialogue ครั้งที่ 8 ณ เกาะลังกาวี
- เมื่อวันที่ 20-22 สิงหาคม 2550 นายกรัฐมนตรี (พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์) เยือนอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมการประชุมหารือประจำปี (Annual Consultation) ครั้งที่ 3 ณ เกาะปีนัง
- เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม - 1 กันยายน 2550 นายกรัฐมนตรี (พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์) เข้าร่วมพิธีฉลอง 50 ปี การได้รับเอกราชของมาเลเซีย
- เมื่อวันที่ 23-24 เมษายน 2551 นายกรัฐมนตรี (นายสมัคร สุนทรเวช) เยือนอย่างเป็นทางการ
- เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2552 นายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เยือนอย่างเป็นทางการ 

ฝ่ายมาเลเซีย


พระราชวงศ์


- เมื่อวันที่ 27-30 มีนาคม 2543 สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งมาเลเซีย เสด็จฯ เยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
- เมื่อวันที่ 11-14 มิถุนายน 2549 สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งมาเลเซียเสด็จฯ เยือนไทยเพื่อทรงร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
- วันที่ 9-12 มีนาคม 2552 สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 13 และสมเด็จพระราชินี เสด็จฯ เยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 

รัฐบาล


- เมื่อวันที่ 5-7 กรกฎาคม 2545 นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย (ดาโต๊ะ ซรี ดร. มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด) เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ
- เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2545 ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย - มาเลเซีย จังหวัดสงขลา
- เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2547 ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเยือนไทยอย่างเป็นทางการในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง
- เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซียเยือนไทย
- เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2547 ดาโต๊ะ ซรี ไซด์ ฮามิด อัลบาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียเยือนไทยเพื่อเป็นประธานร่วมใน การประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนไทย -มาเลเซีย (Thailand-Malaysia Committee on Joint Development Strategy for border areas - JDS) ครั้งที่ 1 ที่กระทรวงการต่างประเทศ 
- เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2547 นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเยือนไทยเพื่อร่วมการประชุมหารือประจำปี (Annual Consultation) กับนายกรัฐมนตรี ที่จังหวัดภูเก็ต และเป็นประธานร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์ โครงการก่อสร้างสะพานดังกล่าวทั้งในฝั่งไทยและฝั่งมาเลเซียเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547
- เมื่อวันที่ 28-29 มกราคม 2548 ดาโต๊ะ ซรี ดร. จามาลุดดีน จาร์จิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาเลเซียเยือนไทยณ จังหวัดภูเก็ต เพื่อร่วมการประชุมว่าด้วยความร่วมมือในภูมิภาคเกี่ยวกับการจัดการเพื่อ เตือนภัยล่วงหน้าในกรณีคลื่นยักษ์
- เมื่อวันที่ 17-19 มีนาคม 2548 ดาโต๊ะ ซรี ราฟีดาห์ อาซิซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมมาเลเซียเยือนไทย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุน
- เมื่อวันที่ 21-22 พฤศจิกายน 2548 ตุน ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและภริยา เยือนไทยในฐานะแขกของรัฐบาล
- เมื่อวันที่ 13-14 กรกฎาคม 2549 ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซียเยือนไทยเพื่อเข้าร่วม การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-มาเลเซียที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง กลาโหมของทั้งสองประเทศเป็นประธาน
- เมื่อวันที่ 11-13 กุมภาพันธ์ 2550 ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเยือนไทยอย่างเป็นทางการ
- เมื่อวันที่ 28-29 มิถุนายน 2550 ดาโต๊ะ ซรี ไซด์ ฮามิด อัลบาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียเยือนไทยเพื่อเป็นประธานร่วมการ ประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ 10 จัดที่กระทรวงการต่างประเทศ
- เมื่อวันที่ 11-13 กุมภาพันธ์ 2550 นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล

 

รายงานการศึกษา

ปี 2016

  • ชื่อเอกสาร: Thailand Overseas Investment Forum 2016
    ดาวน์โหลด
  • ชื่อเอกสาร: Presentation Speaker ช่วงเช้า คุณสมภพ มงคลพิทักษ์สุข
    ดาวน์โหลด
  • ชื่อเอกสาร: รายงานฉบับสมบูรณ์ รายงานการวิเคราะห์อุตสาหกรรม และพื้นที่เป้าหมายเชิงลึกของสหพันธรัฐมาเลเซีย
    ดาวน์โหลด

ปี 2011

  • ชื่อเอกสาร: ข้อมูลการลงทุน สหพันธรัฐมาเลเซีย
    ดาวน์โหลด
  • ชื่อเอกสาร: รายงานการวิเคราะห์อุตสาหกรรมเชิงลึก
    ดาวน์โหลด