ข้อมูลประเทศเป้าหมาย
ประเทศ ฟิลิปปินส์
- ข้อมูลทั่วไป
- การเมืองและการปกครอง
- เศรษฐกิจและสังคม
- ความสัมพันธ์
- โอกาสและลู่ทางการลงทุน
- รายงานการศึกษา
ธงและตราสัญลักษณ์
|
|||||||||
|
|||||||||
แผนที่
|
|||||||||
ที่มา: http://www.wikipedia.org/
ที่มา: lonelyplanet.com |
|||||||||
ข้อมูลทั่วไป
|
|||||||||
ชื่ออย่างเป็นทางการ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines) หรือ ฟิลิปปินส์ (the Philippines) ที่ตั้ง ทิศตะวันตกและทิศเหนือติดกับทะเลจีนใต้ ทิศตะวันออกและทิศใต้ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างละติจูดที่ 13 00 องศาเหนือ ลองติจูดที่ 122 00 องศาตะวันออก พื้นที่ พื้นที่ 300,000 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 3 ใน 5 ของประเทศไทย) พื้นดิน 298,170 ตารางกิโลเมตร พื้นดิน 1,830 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 7,107 เกาะ ชายฝั่งทะเลยาว 36,289 กิโลเมตร อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 1,800 กิโลเมตร สภาพภูมิประเทศ ส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีที่ราบต่ำชายฝั่ง สภาพภูมิอากาศ อากาศเมืองร้อน มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในเดือนพฤศจิกายน-เมษายน และมีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (พฤษภาคม-ตุลาคม) ทรัพยากรธรรมชาติ ไม้ซุง ปิโตรเลียม นิกเกิล โคบอลต์ เงิน ทองคำ เกลือ ทองแดง ภัยธรรมชาติ อยู่ระหว่างแนวเข็มขัดไต้ฝุ่น (Typhoon Belt) ในแต่ละปีจะเผชิญกับพายุไต้ฝุ่น ประมาณ 15 ลูก พายุไซโคลน 5-6 ลูก นอกจากนี้ยังมีดินถล่ม ภูเขาไฟ แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง สึนามิ จำนวนประชากร 105,720,644 คน (ค่าประมาณ เดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2556) อัตราการเติบโตของประชากร 1.873% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555) สัญชาติ ฟิลิปปินส์ (Filipino (s)) เชื้อชาติ ตากาล็อก (Tagalog) 28.1% ซีบูเอโน (Cebuano) 13.1% อิลโลคาโน (Ilcano) 9% Bisaya/ Binisaya 7.6% Hiligaynon Ilonggo 7.5% Bikol 6% Waray 3.4% อื่นๆ 25.3%(สำมะโนประชากร พ.ศ. 2543) ศาสนา โรมันคาธอลิก 83% โปรเตสแตนท์ 9% มุสลิม 5% พุทธและอื่น ๆ 3% ภาษา ฟิลิปิโน (Filipino) และอังกฤษเป็นภาษราชการ และภาษาถิ่นที่ใช้กันมากอีก 8 ภาษา ได้แก่ Tagalog, Cebuano, Ilocano, Hiligaynon or Ilonggo, Bicol, Waray, Pampango, Pangasinan
|
หมวดของข่าว : ลงทุนต่างประเทศ , ลงทุนอาเซียน , ข้อมูลการลงทุน
รูปแบบการปกครอง
ประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ (Republic)
เมืองหลวง
กรุงมะนิลา
การแบ่งเขตการปกครอง
31 เขต 80 จังหวัดและ 120 เมือง (Chartered Cities)
เขต: เขตอีโลกอส (Ilocos Region, Region I) คากายันแวลลีย์ (Cagayan Valley, Region II) เซนทรัลลูซอนคาลาบาร์ซอน (CALABARZON, Region IV-A) มิมาโรปา (MIMAROPA, Region IV-B) เขตบีโกล (Bicol Region, Region V) เวสเทิร์นวิซายา (Western Visayas, Region VI) เซนทรัลวิซายา (Central Visayas, Region VII) อีสเทิร์นวิซายาคาบสมุทรซัมโบอังกา (Zamboanga Peninsula, Region IX) นอร์เทิร์นมินดาเนา (Northern Mindanao, Region X) เขตดาเวา (Davao Region, Region XI) ซอกสก์ซาร์เกน (SOCCSKSARGEN, Region XII) คารากาเขตปกครองตนเองในมินดาเนามุสลิม (Autonomous Region in Muslim Mindanao, ARMM) เขตบริหารกอร์ดีเยรา (Cordillera Administrative Region, CAR) เขตนครหลวง (National Capital Region, NCR) (หรือ Metro Manila: เมโทรมะนิลา) (Central Luzon, Region III) (Eastern Visayas, Region VIII) (Caraga, Region XIII)
จังหวัด: Abra, Agusan del Norte, Agusan del Sur, Aklan, Albay, Antique, Apayao, Aurora, Basilan, Bataan, Batanes, Batangas, Biliran, Benguet, Bohol, Bukidnon, Bulacan, Cagayan, Camarines Norte, Camarines Sur, Camiguin, Capiz, Catanduanes, Cavite, Cebu, Compostela, Davao del Norte, Davao del Sur, Davao Oriental, Dinagat Islands, Eastern Samar, Guimaras, Ifugao, Ilocos Norte, Ilocos Sur, Iloilo, Isabela, Kalinga, Laguna, Lanao del Norte, Lanao del Sur, La Union, Leyte, Maguindanao, Marinduque, Masbate, Mindoro Occidental, Mindoro Oriental, Misamis Occidental, Misamis Oriental, Mountain Province, Negros Occidental, Negros Oriental, North Cotabato, Northern Samar, Nueva Ecija, Nueva Vizcaya, Palawan, Pampanga, Pangasinan, Quezon, Quirino, Rizal, Romblon, Samar, Sarangani, Siquijor, Sorsogon, South Cotabato, Southern Leyte, Sultan Kudarat, Sulu, Surigao del Norte, Surigao del Sur, Tarlac, Tawi-Tawi, Zambales, Zamboanga del Norte, Zamboanga del Sur, Zamboanga Sibugay
เมือง: Alaminos, Angeles, Antipolo, Bacolod, Bago, Baguio, Bais, Balanga, Batac, Batangas, Bayawan, Bislig, Butuan, Cabadbaran, Cabanatuan, Cadiz, Cagayan de Oro, Calamba, Calapan, Calbayog, Candon, Canlaon, Cauayan, Cavite, Cebu, Cotabato, Dagupan, Danao, Dapitan, Davao, Digos, Dipolog, Dumaguete, Escalante, Gapan, General Santos, Gingoog, Himamaylan, Iligan, Iloilo, Isabela, Iriga, Kabankalan, Kalookan, Kidapawan, Koronadal, La Carlota, Laoag, Lapu-Lapu, Las Pinas, Legazpi, Ligao, Lipa, Lucena, Maasin, Makati, Malabon, Malaybalay, Malolos, Mandaluyong, Mandaue, Manila, Marawi, Marikina, Masbate, Mati, Meycauayan, Muntinlupa, Munoz, Naga, Navotas, Olongapo, Ormoc, Oroquieta, Ozamis, Pagadian, Palayan, Panabo, Paranaque, Pasay, Pasig, Passi, Puerto Princesa, Quezon, Roxas, Sagay, Samal, San Carlos (in Negros Occidental), San Carlos (in Pangasinan), San Fernando (in La Union), San Fernando (in Pampanga), San Jose, San Jose del Monte, San Juan, San Pablo, Santa Rosa, Santiago, Silay, Sipalay, Sorsogon, Surigao, Tabaco, Tacloban, Tacurong, Tagaytay, Tagbilaran, Taguig, Tagum, Talisay (in Cebu), Talisay (in Negros Occidental), Tanauan, Tangub, Tanjay, Tarlac, Toledo, Tuguegarao, Trece Martires, Urdaneta, Valencia, Valenzuela, Victorias, Vigan, Zamboanga (2009)
แผนที่การแบ่งเขตการปกครอง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
วันที่ได้รับเอกราช
12 มิถุนายน พ.ศ. 2441 จากสเปน และวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2489
รัฐธรรมนูญ
2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 มีผลบังคับใช้วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530
ฝ่ายบริหาร
ประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ หัวหน้าคณะรัฐบาล และเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐบาลโดยความเห็นชอบจาก Commission of Appointments การเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีเป็นการเลือกตั้งต่างวาระ (แบบ Popular Vote) รับตำแหน่งได้วาระเดียว วาระละ 6 ปี การเลือกตั้งครั้งต่อไปมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553
ฝ่ายนิติบัญญัติ
ระบบสภาคู่ (Bicameral Congress หรือ Kongreso) ประกอบด้วย (1) รัฐสภา (the Senate หรือ Senado) สมาชิกจำนวน 24 ที่นั่ง มีการเลือกตั้งกึ่งหนึ่งทุกๆ 3 ปี โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี (2) สภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives หรือ Kapulungan Ng Nga Kinatawan) จากผลการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2550 มีสมาชิกจำนวน 240 ที่นั่ง โดย 218 ที่นั่งเป็นตัวแทนแต่ละเขต และ 22 ที่นั่งเป็นส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ จากการเลือกตั้งย่อยในอัตราส่วน 1 ที่นั่งทุกๆ ร้อยละ 2 ของการออกเสียงเลือกตั้ง (จำกัดไว้เพียง 3 ที่นั่ง) สมาชิกมาจากการเลือกตั้ง (Popular Vote) วาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี (หมายเหตุ- รัฐธรรมนูญระบุจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีได้ไม่เกิน 250 คน) การเลือกตั้งครั้งต่อไปมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553
ฝ่ายตุลาการ
ระบบศาลฎีกา (Supreme Court) ผู้พิพากษา 15 คนมาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี จากคำแนะนำของ Judicial and Bar Council ดำรงตำแหน่งจนกระทั่งอายุ 70 ปี ศาลอุทธรณ์ (Court of Appeals) และศาล Sandigan-bayanซึ่งเป็นศาลพิเศษตัดสินคดีฉ้อโกงของข้าราชการ
ระบบกฎหมาย
กฎหมายสเปนและกฎหมายแองโกล-อเมริกัน (Spanish and Anglo-American Law) ยอมรับเขตอำนาจโดยบังคับของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) โดยมีการสงวนสิทธิ์บางประการ
นโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
การเมืองการปกครอง
ฟิลิปปินส์มีการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยแบบมีประธานาธิบดีเป็นประมุขและหัวหน้าฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือนางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย (Gloria Macapagal Arroyo) ซึ่งได้รับการรับรองให้เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2547 และได้แถลงนโยบายและผลงานประจำปีต่อรัฐสภา (State of the Nation Address) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2547 สรุปว่า จะดำเนินตามนโยบาย 10 ประการที่ได้ประกาศไว้ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ได้แก่
- การปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวง
- การสร้างงาน
- การสร้างความยุติธรรมทางสังคมและความต้องการขั้นพื้นฐาน
- การปรับปรุงระบบการศึกษาให้ทันสมัย
- การพึ่งพาและการประหยัดพลังงานภายในประเทศ
- แก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณ
- การลดจำนวนหน่วยงานของรัฐบาล
- การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
- การเพิ่มปริมาณการลงทุน
- การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติด
ประธานาธิบดีอาร์โรโยมีแนวคิดจะแก้ไข รัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็น แบบรัฐสภา และได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2548 อย่างไรก็ตาม การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการปกครองยังไม่ได้ข้อยุติเนื่องจากหลายฝ่าย ยังมีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่รัฐบาลฟิลิปปินส์ยืนยันจะคงผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปหลังจาก การเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2550
ฟิลิปปินส์ประสบปัญหากลุ่มก่อความไม่สงบในหมู่เกาะมินดาเนา แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักได้แก่
- กลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน (secessionist movement) เช่น Moro Islamic Liberation Front (MILF) และ Moro National Liberation Front- Misuari Group (MNLF-MG)
- กลุ่มก่อการร้าย (terrorist group) เช่น Abu Sayyaf Group (ASG) และ Jemaah Islamiya (JI) และ Foreign Militant Jihadist
- กลุ่มคอมมิวนิสต์ (communist insurgency) เช่น Communist Party of the Philippines (CPP), New People\\\\\\\\\\\\'s Army (NPA) และ National Democratic Front (NDF) รัฐบาลฟิลิปปินส์มีนโยบายใช้การเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อแก้ปัญหา โดยคำนึงถึงความต้องการของ ทุกฝ่าย และเร่งพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประชาชนในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้มิตรประเทศสนับสนุนกระบวนการเจรจาสันติภาพ เช่น รัฐบาลมาเลเซียได้ช่วยประสานงานการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์กับ กลุ่ม MILF สำหรับกลุ่มก่อการร้าย เช่น JI รัฐบาลใช้นโยบายปราบปรามและโดดเดี่ยวกลุ่มผู้ก่อการร้ายมุสลิมไม่ให้ได้รับ ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศ
ในด้านความมั่นคง รัฐบาลฟิลิปปินส์ให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศ ต่าง ๆ ในทุกภูมิภาค โดยมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกัน การหารือทางการเมือง การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมในด้านต่าง ๆ การลงนามความตกลงทวิภาคี รวมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์ทางทหารและความมั่นคงกับประเทศต่าง ๆ อาทิ สหรัฐฯ และประเทศสมาชิกอาเซียน โดยการแลกเปลี่ยนการฝึกร่วมทางทหารทั้งในระดับทวิภาคี (กับสหรัฐฯ) อาทิ Balikatan และระดับพหุภาคี (กับสหรัฐฯ ไทย และประเทศสมาชิกอาเซียนบางประเทศ) อาทิ Cooperation Afloat Readiness and Training (CARAT) Cobra Gold และ Team Challenge
ฟิลิปปินส์ส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาคและพหุภาคี โดยการเข้าไปมีส่วนร่วมอย่าง แข็งขันในกรอบความร่วมมือและเวทีระหว่างประเทศต่าง ๆ อาทิ อาเซียน กรอบความร่วมมือของเอเชียตะวันออก-ละตินอเมริกา (Forum for East Asia-Latin America Cooperation - FEALAC ซึ่งฟิลิปปินส์ ได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับรัฐมนตรี FEALAC เมื่อวันที่ 30 - 31 มกราคม 2547) การประชุม Pacific Islands Forum และการประชุมต่าง ๆ ขององค์การสหประชาชาติ ฟิลิปปินส์มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและมีลักษณะพิเศษกับสหรัฐฯ เนื่องจากความเกี่ยวพัน ทางประวัติศาสตร์ แม้ว่าในปัจจุบันฟิลิปปินส์จะดำเนินนโยบายต่างประเทศกับสหรัฐฯ ในลักษณะสองทิศทาง คือ พยายามเป็นอิสระ (โดยยกเลิกการให้สหรัฐฯ ใช้ฐานทัพเรือที่อ่าวซูบิก (Subic) และฐานทัพอากาศคลาร์ก (Clark) แต่ก็ยังคงเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงภายใต้ความตกลงว่าด้วยการใช้ฐานทัพ ฟิลิปปินส์ของกองทัพสหรัฐฯ (Visiting Force Agreement - VFA) เมื่อปี 2541
ในระหว่างการเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 17 - 24 พฤษภาคม 2546 รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการสนับสนุนการปฏิบัติการ ตอบโต้การก่อการร้ายและสงครามในอิรักของสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ ได้ตอบแทนด้วยการให้ความช่วยเหลือ ทั้งด้านการทหารและเศรษฐกิจ เช่น สนับสนุนเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมทางทหารแก่ฟิลิปปินส์ ภายใต้งบประมาณจำนวน 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายในฟิลิปปินส์ ลดอัตราค่าธรรมเนียมการส่งเงินจากสหรัฐฯ ไปฟิลิปปินส์ เพื่อช่วยให้ชาวฟิลิปปินส์ในสหรัฐฯ เสียค่าใช้จ่ายในการส่งเงินกลับประเทศน้อยลง นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังประกาศยกเว้นภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าบางประเภทจากฟิลิปปินส์ และเพิ่มสวัสดิการความช่วยเหลือแก่ทหารผ่านศึกในสงครามโลก ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ
ในส่วนของการทูตเพื่อการพัฒนาประเทศนั้น รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ดำเนินการโดย
(1) การส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาค และพหุภาคี อาทิ ในกรอบเขตการค้าเสรีอาเซียน กรอบความร่วมมือ Brunei-Indonesia-Malaysia-Philippines-East ASEAN Growth Area (BIMP-EAGA) กรอบ Asia-Pacific Economic Cooperation (APEC) การประชุมเอเชีย-ยุโรป (ASEM) องค์การการค้าโลก และสหประชาชาติ
(2) การส่งเสริมโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศต่าง ๆ อาทิ ญี่ปุ่น สวีเดน เยอรมนี สาธารณรัฐเช็ก และคณะกรรมาธิการยุโรป
หมวดของข่าว : ลงทุนต่างประเทศ , ลงทุนอาเซียน , ข้อมูลการลงทุน
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP)
423.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
GDP รายหัว
4,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
อัตราการเจริญเติบโต GDP
6.6% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
GDP แยกตามภาคการผลิต
- ภาคการเกษตร 11.9%
- ภาคอุตสาหกรรม 31.1%
- ภาคการบริการ 57% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
อัตราการว่างงาน
7% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
อัตราเงินเฟ้อ (Consumer Prices)
3.2% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
ผลผลิตทางการเกษตร
อ้อย มะพร้าว ข้าว ข้าวโพด กล้วย มันสำปะหลังอัดเม็ด สัปปะรด มะม่วง เนื้อสุกร ไข่ เนื้อวัว ปลา
อุตสาหกรรม
ประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้า เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า เวชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์จากไม้ แปรรูปอาหาร กลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ตกปลา
อัตราการเกิบโตภาคอุตสาหกรรม
1.1% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554)
หนี้สาธารณะ
51% ของ GDP (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
ดุลบัญชีเดินสะพัด
9.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
มูลค่าการส่งออก
50.96 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ f.o.b (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
สินค้าส่งออก
ผลิตภัณฑ์สารกึ่งตัวนำและอุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์การขนส่ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ทองแดง ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม น้ำมันมะพร้าว ผลไม้
ประเทศคู่ค้า (ส่งออก)ที่สำคัญ
สหรัฐ 14.2% ญี่ปุ่น 19% จีน 11.8% ฮ่องกง 9.4% เกาหลีใต้ 5.5% สิงคโปร์ 9.2% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
มูลค่าการนำเข้า
65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ f.o.b (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
สินค้านำเข้า
ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า แร่เชื้อเพลิง เครื่องจักรและอุปกรณ์การขนส่ง เหล็กและเหล็กกล้า สิ่งทอ ธัญพืช เคมีภัณฑ์ พลาสติก
ประเทศคู่ค้า (นำเข้า)ที่สำคัญ
สหรัฐอเมริกา 11.5% ญี่ปุ่น 10.4% ไต้หวัน 7.8% สิงคโปร์ 7.1% จีน 10.8% เกาหลีใต้ 7.3% ไทย 5.6% อินโดนีเซีย 4.4% มาเลเซีย 3.9% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
สกุลเงิน
เปโซ (Philippine Peso)
สัญลักษณ์เงิน
PHP
นโยบายเศรษฐกิจและสังคม
2.1 รัฐบาลจะลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา สาธารณสุข การสร้างงาน รวมทั้งมีเป้าหมายที่จะให้มีงบประมาณสมดุลในปี 2551 ในปี 2549 เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ขยายตัวร้อยละ 5.4 และมีแนวโน้มที่ดีทั้งในตลาดหุ้น การส่งออก การลงทุน การจ้างงาน และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลยืนยัน
2.2 แผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ของฟิลิปปินส์ตามถ้อยแถลงของประธานาธิบดีอาร์โรโย เมื่อ 24 กรกฎาคม 2549 จะเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการแบ่งเขตที่จะพัฒนาออกเป็น 5 เขต (Mega Regions) คือ ลูซอนเหนือ เมโทรมะนิลา ฟิลิปปินส์กลาง มินดาเนา และไซเบอร์ คอร์ริดอร์ เพื่อให้สามารถทุ่มงบประมาณเข้าไปพัฒนาพื้นที่หลักทางเศรษฐกิจตรงเป้าหมาย และครอบคลุม รวมทั้งเป็นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนา เศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลฟิลิปปินส์พยายามลดเงื่อนไขที่จะเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจใน ฟิลิปปินส์ เพื่อกระตุ้นการลงทุนและการค้า โดยเฉพาะด้าน การท่องเที่ยวและการส่งออก
2.3 ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจฟิลิปปินส์คือ แรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศส่งเงินกลับประเทศเพิ่มขึ้น เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและเงินทุนสำรองต่างประเทศเพิ่มขึ้น การส่งออกและธุรกิจภาคบริการขยายตัว และอัตราเงินเฟ้อลดลง ส่วนปัจจัยด้านลบ ได้แก่ ปัญหาจากภัยก่อการร้าย ซึ่งกดดันบรรยากาศการลงทุนของประเทศ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ และจีน ที่คาดว่าจะส่งผลให้สินค้าส่งออกของฟิลิปปินส์ไปประเทศเหล่านี้ชะลอตัว ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง และมาตรการกีดกันการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers : NTBs) ในรูปแบบต่างๆ
2.4 ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของฟิลิปปินส์ ได้แก่ ปัญหาการว่างงาน ปัญหาความยากจน ปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมือง และอุปสรรคจากความล่าช้าของขั้นตอนการดำเนินงานภาครัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศด้านการลงทุนและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการกระจายรายได้และการปฏิรูปที่ดินที่ล่าช้า ทำให้พื้นที่การเกษตรโดยเฉลี่ยลดลง
หมวดของข่าว : ลงทุนต่างประเทศ , ลงทุนอาเซียน , ข้อมูลการลงทุน
การค้าระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ในปี 2551 มีมูลค่า 5,789.54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 12.38 ไทยส่งออกไปฟิลิปปินส์ 3,512.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.62 และนำเข้าจากฟิลิปปินส์ 2,277.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 ไทยได้เปรียบดุลการค้า 1,235.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าไทยมีส่วนแบ่งตลาดในฟิลิปปินส์ประมาณร้อยละ 3.5 สินค้าออกรายการสำคัญที่มีมูลค่าการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เครื่องสำอาง เหล็กกล้า เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกล ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องรับโทรทัศน์ และกระดาษ สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจาก ฟิลิปปินส์ ประกอบด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้า ส่วนประกอบอุปกรณ์ยานพาหนะ รถยนต์นั่ง เครื่องจักรกล สินแร่โลหะและเศษโลหะ เครื่องมือทางการแพทย์ ยาสูบ สัตว์น้ำ เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์จากพลาสติก เป็นต้น ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกของไทยไปฟิลิปปินส์ขยายตัว คือ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์อย่างต่อเนื่อง การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน เงินรายได้จากแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศ การลงทุนภาครัฐบาลในโครงการระบบสาธารณูปโภค สินค้าที่มีแนวโน้มการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูป เคื่องสำอาง เภสัชภัณฑ์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ไทยกับฟิลิปปินส์ได้ลงนามความตกลงทาง การค้าเมื่อปี 2542 และได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมทางด้านการค้า (Joint Trade Commission - JTC) ภายใต้ความตกลงดังกล่าว และทั้งจะพิจารณาจัดการประชุม JTC ครั้งที่ 1 ต่อไป ภายในปี 2550 รัฐบาลฟิลิปปินส์ปัจจุบันให้ความสนใจ กับนโยบายด้านเศรษฐกิจของไทย ดังจะเห็นได้จากการประกาศโครงการ "One Town, One Product, One Million Pesos" ซึ่งคล้ายคลึงกับโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์และกองทุนหมู่บ้านของไทย นอกจากนั้น ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ยังประกาศใช้นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดกลางและ ย่อมโดยดูตัวอย่างจากไทยอีกด้วย การลงทุน บริษัทไทยที่ไปลงทุนในฟิลิปปินส์ ได้แก่ บมจ.ปตท. บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ส่วนฟิลิปปินส์มาลงทุนในไทยในระดับน่าพอใจ บริษัทฟิลิปปินส์ที่ลงทุนในไทย เช่น บริษัท Universal Robina บริษัท San Miguel และ Liwayway Food Industries
|
||
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
|
||
การทูต ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2492 เอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลาคนปัจจุบันคือ นางอัชฌา ทวีติยานนท์ และมีหน่วยงานในสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้แก่ สำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ดำเนินไปอย่างราบรื่นและใกล้ชิดมานาน ฟิลิปปินส์เป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย และเป็นประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนเช่นเดียวกับไทย และเป็นแนวร่วมของไทยในเวทีระหว่างประเทศ เนื่องจากมีทัศนคติและแนวคิดคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ทั้งสองฝ่ายมีกลไกส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคี ได้แก่ คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ (Joint Commission - JC) ตั้งเมื่อปี 2536 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ ทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วม (ประชุมครั้งที่ 1 ที่กรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 1-4 มีนาคม 2537 ครั้งที่ 2 ที่ภูเก็ต เมื่อวันที่ 27-29 เมษายน 2540 ครั้งที่ 3 ที่กรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 10-13 มิถุนายน 2542และไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JC ครั้งที่ 4 ในวันที่ 26 มีนาคม 2550) สำหรับท่าทีของฝ่ายฟิลิปปินส์ต่อสถานการณ์การเมืองของไทยนั้น ประธานาธิบดีอาร์โรโยกล่าวว่า ฟิลิปปินส์ร่วมกับประชาคมโลกเรียกร้องให้มีการปฏิบัติตามหลักนิติรัฐ (the rule of law) และกลับคืนสู่ประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด และในฐานะเพื่อนบ้านและพันธมิตรอาเซียน ฟิลิปปินส์อยู่เคียงข้าง ประชาชนชาวไทยในการแสวงหาและนำมาซึ่งสันติภาพและความเป็นเอกภาพภายในประเทศ และมองว่าเป็นการดีที่เหตุการณ์ทางการเมืองในไทยที่ผ่านมาไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อของประชาชน และโฆษกทำเนียบประธานาธิบดีได้ออกแถลงการณ์ว่า ฟิลิปปินส์รู้สึกคลายความกังวลที่สถานการณ์ทาง การเมืองในไทยได้คลี่คลายลง และสถานที่ราชการและธุรกิจต่างๆ ได้เปิดทำการดังเดิม ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์ปรารถนาที่จะเห็นสันติภาพและความสามัคคีเกิดขึ้นในสังคมไทย ในขณะที่คาดว่าจะมีการฟื้นฟูกระบวนการประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ขึ้นโดยเร็วที่สุด โดยไทยยังเป็นพันธมิตรที่สำคัญของฟิลิปปินส์ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง การต่อต้านการก่อการร้าย และการแก้ไขปัญหาความยากจน หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2549 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเยือนฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการ ความมั่นคง ไทยกับฟิลิปปินส์มีความร่วมมือด้านการทหารอย่างใกล้ชิด อาทิ การจัดส่งนักเรียนนายร้อย ของไทยเข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยฟิลิปปินส์ การแลกเปลี่ยนนายทหารเข้าอบรมในหลักสูตรเสนาธิการ ทหาร การแลกเปลี่ยนการดูงานของนักศึกษาในหลักสูตรวิชาทหารต่าง ๆ การสัมมนาแลกเปลี่ยนข่าวกรองทางทหารระหว่างกัน และการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำเหล่าทัพ โดยฟิลิปปินส์ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การฝึกคอบร้าโกลด์ และได้เข้าร่วมการฝึก Command Post Exercise (CPX) ในปี 2547 ด้วย นอกจากนั้น รัฐบาลไทยได้มอบเครื่องบินโจมตีแบบ OV-10 ซึ่งปลดประจำการแล้วของกองทัพอากาศตามคำขอของรัฐบาลฟิลิปปินส์ด้วย จำนวน 8 ลำ ในปี 2546-47 การท่องเที่ยว ไทยและฟิลิปปินส์มีความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ลงนามเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2536 ในปี 2549 มีนักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์มาไทย 198,443 คน ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-ฟิลิปปินส์ ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2550 ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว โดยให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้บริหารระดับสูง การจัด Business Matching และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ อาทิ การส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนที่สนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่น นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะขยายความร่วมมือทางการบินระหว่างกันและจะให้มีการเจรจาการบินภายในปี 2550 สังคมและวัฒนธรรม ไทยกับฟิลิปปินส์ได้ลงนามในความตกลงทางวัฒนธรรมเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2518 และ เมื่อปี 2539 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลาได้จัดกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลองพระราชพิธีกาญจนาภิเษก โดยได้เลี้ยงอาหารกลางวันแก่เด็กกำพร้าและเด็กพิการ และสร้างศาลาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ด้วย นอกจากนี้ เมื่อปี 2542 เนื่องในโอกาสการฉลองครบรอบ 50 ปีของการสถาปนา ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ฟิลิปปินส์ได้มีการจัดพิมพ์แสตมป์ที่ระลึก ใช้ชื่อประเทศไทยเป็นชื่อ ถนน Rada (Thailand) Street ในกรุงมะนิลาและตั้งวงเวียนมิตรภาพฟิลิปปินส์-ไทยที่กรุงมะนิลา ส่วนประเทศไทยได้เปลี่ยนชื่อซอยข้างสถานเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ในกรุงเทพฯ (ซอยสุขุมวิท 30/1) เป็น "ซอยฟิลิปปินส์" สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลาได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ของไทยจัดงานเทศกาลอาหารไทยต่อเนื่องมาหลายปี จนเป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนในกรุงมะนิลามากขึ้นและมีการพูดถึงในสื่อมวลชนฟิลิปปินส์ ซึ่งในงานมีร้านอาหารไทยในกรุงมะนิลาและผู้นำเข้าสินค้าไทยร่วมออกร้าน มีการสาธิตการทำอาหารไทย การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยการจัดงานประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ในปี 2549 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครอง สิริราชสมบัติครบ 60 ปี สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดกิจกรรม ดังนี้ 1. มอบรายได้จากการจัดงานเทศกาลอาหารไทยส่วนหนึ่งแก่ Early Childhood Education Division, Social Service Department ของเมือง Muntinlupa สำหรับก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ให้แก่ Sucat Day Care Center รวมทั้งมอบให้มูลนิธิ Munting Kalinga เพื่อเป็นทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ยากไร้ในพื้นที่ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล 2. คณะวงดนตรี Bangkok Symphony Orchestra (BSO) นำโดย ม.ล.อัศนี ปราโมช องคมนตรี ได้เดินทางไปแสดงดนตรีคอนเสิร์ตเพลงพระราชนิพนธ์ที่กรุงมะนิลา ด้วยความร่วมมือของ Cultural Center of the Philippines เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549 โดยประธานาธิบดีอาร์โรโย และอดีต ประธานาธิบดีรามอส ได้ไปร่วมชมการแสดงด้วย คณะสื่อมวลชนชั้นนำของฟิลิปปินส์ได้เดินทางเยือนไทยอย่างสม่ำเสมอ โดยฝ่ายไทยได้ จัดให้เยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย โดยมีวัตถุประสงค์ให้บุคคลเหล่านี้นำข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเทศไทยกลับไปเผยแพร่ในฟิลิปปินส์ และในแต่ละปีได้มีการประกวดเรียงความเกี่ยวกับประเทศไทยสำหรับนักเรียนและนักศึกษาในฟิลิปปินส์ เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนของฟิลิปปินส์มีความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทยมากขึ้น ไทยมีความร่วมมือทางวิชาการกับฟิลิปปินส์ โดยจัดสรรทุนฝึกอบรมประจำปีให้แก่บุคลากรฟิลิปปินส์ในสาขาต่าง ๆ อาทิ การเกษตร ประมง สิ่งแวดล้อม สุขอนามัย การพัฒนาชุมชน และไทยได้มอบเงินช่วยเหลือมูลค่ากว่า 30 ล้านบาทแก่รัฐบาลฟิลิปปินส์สำหรับเป็นเงินทุนสร้างศูนย์เก็บรักษาและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรภายหลังการเก็บเกี่ยวที่มหาวิทยาลัยปังกาสินัน รวมทั้งได้จัดสรรทุนฝึกอบรมแก่ผู้เชี่ยวชาญฟิลิปปินส์ซึ่งจะปฏิบัติงานที่ศูนย์แห่งนี้ด้วย ในปี 2549 ไทยได้ให้ความช่วยเหลือแก่ฟิลิปปินส์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น มอบเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินถล่มที่จังหวัด Southern Leyte เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2549 และบริจาคข้าวสารจำนวน 1,000 ตัน ให้ผู้ประสบภัยจากไต้ฝุ่นทุเรียน ซึ่งเป็นพายุที่สร้างความเสียหายมากที่สุดที่เข้าถล่มฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2549 โดยนายกรัฐมนตรีได้ส่งสารแสดงความเสียใจถึงประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ด้วย แนวโน้มความสัมพันธ์ ไทยและฟิลิปปินส์จะฉลองครบ 60 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2542 ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีและไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้งรุนแรง เป็นพัธมิตรทางยุทธศาสตร์ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง ฟิลิปปินส์สามารถเป็นแนวร่วมของไทยในเวทีระหว่างประเทศเพราะมีทัศนคติคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน จากการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทยและฟิลิปปินส์ ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 26มีนาคม 2550 ทั้งสองฝ่ายได้พิจารณาเห็นชอบโครงการและกิจกรรมที่จะส่งเสริมและขยายความร่วมมือระหว่างกันในด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ทั้งทางด้านการค้าการลงทุน การเกษตร ท่องเที่ยว พลังงาน การศึกษาและวัฒนธรรม และความมั่นคง ความตกลงที่สำคัญต่างๆ ของไทย
การเยือนที่สำคัญ ฝ่ายไทย พระราชวงศ์ - วันที่ 9-14 กรกฎาคม 2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ เยือนฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการในโอกาสดังกล่าว นางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นบุตรีของนายดิออสดาโด มาคาปากัล (Diosdado Macapagal) ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ขณะนั้น ได้ทูลเกล้าฯ ถวายของที่ระลึกแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ - เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ถึง 2 กันยายน 2534 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปทรงรับรางวัลรามอน แม็กไซไซ สาขาบริการชุมชน รัฐบาล - วันที่ 12-13 ตุลาคม 2544 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยือนอย่างเป็น ทางการ - วันที่ 31 สิงหาคม ถึงวันที่ 4 กันยายน 2546 นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา เข้าร่วมการประชุม General Assembly of the Association of Asian Parliaments for Peace ครั้งที่ 4 - วันที่ 7-8 กันยายน 2546 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยือนตามคำเชิญ ของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เพื่อกล่าวสุนทรพจน์เรื่อง "Thaksinomics" ต่อ Philippine Chamber of Commerce and Industry (PCCI) และ Philippine-Thailand Business Council (PTBC) และเพื่อร่วมในพิธีส่งมอบเครื่องบินโจมตีแบบ OV-10 ซึ่งกองทัพอากาศไทยปลดประจำการแล้วให้แก่กองทัพอากาศฟิลิปปินส์ ตามคำขอของฟิลิปปินส์เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะของกองทัพอากาศฟิลิปปินส์ - วันที่ 30-31 มกราคม 2547 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือของเอเชียตะวันออก-ละตินอเมริกา (Forum for East Asia-Latin America Cooperation - FEALAC) - วันที่ 29 มิถุนายน ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก สุชาติ เชาว์วิศิษฐ์) เข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย - วันที่ 10-12 เมษายน 2548 นายกันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ที่เมืองเซบูและเยือนฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการ - วันที่ 26-28 มกราคม 2549 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมพิธีเปิดสำนักงานภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของ Centrist Democrat International และกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม Global Christian Muslim and Interfaith Dialogue - วันที่ 23 ตุลาคม 2549 พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เยือนอย่างเป็นทางการ - วันที่ 10-14 ธันวาคม 2549 นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน ที่เมืองเซบู - วันที่ 13-15 มกราคม 2550 พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 12 และการประชุมสุดยอดอื่นๆ ณ เมืองเซบู - วันที่ 2-3 สิงหาคม 2550 นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยือนฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการ ฝ่ายฟิลิปปินส์ - วันที่ 18-22 เมษายน 2544 นายริซาลลิโน นาวาร์โร ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย หารือข้อราชการกับบุคคลสำคัญในภาครัฐและภาคเอกชนของไทย - วันที่ 7-10 มิถุนายน 2544 นายโฮเซ เด เวเนเชีย จูเนียร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรฟิลิปปินส์ เยือนเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม International Leadership Seminar ซึ่งจัดโดย Inter-Religious and International Federation for World Peace และเมื่อวันที่ 2-5 กันยายน 2544เพื่อเข้าร่วมประชุม ASEAN Inter-Parliamentary ครั้งที่ 22 - วันที่ 7-8 พฤษภาคม 2545 นางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เยือนอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล และเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2546 ได้เข้าร่วมการประชุมผู้นำอาเซียนและผู้นำอาเซียน-จีนสมัยพิเศษว่าด้วยโรค SARS ที่กรุงเทพฯ - วันที่ 21-22 มิถุนายน 2546 นายบลาส เอฟ อ๊อบ-เล่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศฟิลิปปินส์ เข้าร่วมการประชุม Asia Cooperation Dialogue ที่จังหวัดเชียงใหม่ - วันที่ 20-21 ตุลาคม 2546 นางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เข้าร่วมการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปค ที่กรุงเทพฯ - วันที่ 28 ตุลาคม ถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2546 นายโรมูโล เอล เนริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนสังคมและเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ เยือนเพื่อติดตามผลการเยือนฟิลิปปินส์ของนายกรัฐมนตรี และศึกษานโยบายและโครงการเศรษฐกิจและสังคมของไทย - วันที่ 4-5 มีนาคม 2548 นายอัลเบอร์โต กัตไมตัน โรมูโล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศฟิลิปปินส์ เยือนอย่างเป็นทางการในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ในฐานะแขกของกระทรวง การต่างประเทศ - วันที่ 10-15 กรกฎาคม 2548 นายฟิเดล รามอส อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เยือนเพื่อร่วมการประชุม The International Association of University Presidents (IAUP) ครั้งที่ 14 - วันที่ 12-16 กุมภาพันธ์ 2549 นายฟิเดล รามอส อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เยือนเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะผู้ทรงคุณวุฒิในเรื่องกฎบัตรอาเซียน ครั้งที่ 2 ที่กรุงเทพฯ - วันที่ 16 และ 18 กรกฎาคม 2549 นางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดี ฟิลิปปินส์แวะพักที่ห้องรับรองพิเศษ สนามบินดอนเมือง ก่อนและหลังการเยือนลิเบียอย่างเป็นทางการ โดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายกันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้การต้อนรับและหารือตามลำดับ - วันที่ 13 สิงหาคม 2549 นายอัลเบอร์โต กัตไมตัน โรมูโล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศฟิลิปปินส์ แวะพักที่ห้องรับรองพิเศษ สนามบินดอนเมือง หลังการเยือนพม่าอย่างเป็นทางการ ก่อนเดินทางกลับฟิลิปปินส์ โดยได้หารือกับนายกันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศ - วันที่ 24-27 มีนาคม 2550 นายอัลเบอร์โต กัตไมตัน โรมูโล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ เยือนเพื่อเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-ฟิลิปปินส์ ครั้งที่ 4 |
หมวดของข่าว : ลงทุนต่างประเทศ , ลงทุนอาเซียน , ข้อมูลการลงทุน
รายงานการศึกษา
ปี 2017
-
ชื่อเอกสาร: เอกสารสัมมนา TOI Forum 2017: โอกาสการลงทุนของไทยในอาเซียน
ดาวน์โหลด -
ชื่อเอกสาร: เอกสารสัมมนา TOI Forum 2017: Opportunities for Foreign Direct Investments in the Philippines by BOI Philippines
ดาวน์โหลด -
ชื่อเอกสาร: รายงานผลการศึกษาข้อมูลเชิงลึกฉบับสมบูรณ์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์
ดาวน์โหลด
ปี 2016
-
ชื่อเอกสาร: รายงานฉบับสมบูรณ์ รายงานการวิเคราะห์อุตสาหกรรม และพื้นที่เป้าหมายเชิงลึกของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
ดาวน์โหลด