ข่าวสารกลุ่มประเทศอาเซียน

The Next Thailand (and beyond)

14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

     ผมเพิ่งกลับจากการไปสำรวจภาวะการลงทุนและเยี่ยมเยียนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียตนามที่เมืองโฮจิมินซิตี้  การไปเวียตนามในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สองของผมหลังจากครั้งแรกที่ผมไปกับทางมันนีแชนแนลเมื่อซักหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา  การไปครั้งนี้  เป็นการ “ไปกันเอง” ของกลุ่ม VI “อาวุโส” ประมาณเกือบ 20 คน  หลายคนมีเงินลงทุนในเวียตนามบ้างแล้ว และเกือบทุกคนกำลังดูว่าอาจจะไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามหลังจากที่เห็นว่าโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นไทยลดน้อยลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ คุณภาพของบริษัทจดทะเบียน  และราคาหุ้นอาจจะแพงเกินไป  และต่อไปนี้ก็คือข้อสังเกตของผมซึ่งก็อิงจากการได้ไปเห็นบ้านเมืองและพูดคุยกับผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนรวมทั้งได้ศึกษาข้อมูลและประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ

  ข้อสรุปหลัก ๆ ของผมก็คือ  เศรษฐกิจ สังคม และสภาวะแวดล้อมหรือภาพใหญ่ของเวียตนามในขณะนี้คล้าย ๆ  กับของประเทศไทยเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว  และเวียตนามกำลังจะเติบโตอย่างรวดเร็วแบบเดียวกับประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา  แม้แต่ฉายาของการเป็น  “เสือแห่งเอเซีย” ที่ไทยเคยได้รับเราก็อาจจะได้เห็นว่าเวียตนามก็จะได้รับฉายาในทำนองคล้าย ๆ  กัน  พูดอีกแบบหนึ่ง  ผมคิดว่าเวียตนามก็คือ  “The Next Thailand” หรือจะเป็นประเทศไทยรายต่อไป  เพียงแต่ผมคิดว่า  เวียตนามในอนาคตอาจจะโตจนเท่าและ  “ผ่าน”  ประเทศไทยได้ถ้าเวียตนามยังรักษานโยบายและแนวทางที่ดีต่อการเติบโตในปัจจุบันต่อไปได้เรื่อย ๆ  ในขณะที่ไทยไม่แก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่มีอยู่ในขณะนี้

  ถ้ามองย้อนกลับไปซัก 40 ปี ซึ่งเป็นปีที่โฮจิมินแตกเวียตนามใต้กลายเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์  ระดับการพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียโดยเฉพาะในอาเซียนนั้นน่าจะพอ ๆ  กัน  แต่หลังจากนั้น  สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ซึ่งใช้นโยบาย  “เปิดประเทศ”และระบบเศรษฐกิจเป็นแบบตลาดเสรีในขณะที่การเมืองนั้นแม้ไมใช่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลไปเรื่อย ๆ  สลับไปมาระหว่างกลุ่มอำนาจหลัก ๆ   ก็สามารถพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าอย่างน่าประทับใจ  เหตุผลหรือปัจจัยที่ทำให้ไทยรวมถึงมาเลเซียเติบโตเร็วมากนั้น  ผมคิดว่าเป็นเพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงและมีกระแสโลกานุวัตรสูง  ญี่ปุ่นซึ่งได้เปรียบดุลการค้ากับโลกตะวันตกมหาศาลถูกบังคับให้เพิ่มค่าเงินเยนซึ่งทำให้สินค้าราคาถูกที่ใช้แรงงานสูงไม่สามารถแข่งขันได้จึง  “ย้ายฐานการผลิต”  จากญี่ปุ่นไปสู่ประเทศที่มีค่าแรงถูกและมีปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน  และประเทศที่ว่าก็คือ  มาเลเซียกับไทย

  ประเทศเวียตนาม  กัมพูชา ลาว นั้นเป็นสังคมนิยมที่เข้มข้น ดังนั้น ไม่สามารถที่จะรองรับการลงทุนได้  พม่าเองปกครองโดยเผด็จการทหารที่กองทัพคุมรัฐบาล  อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์นั้นอยู่ภายใต้เผด็จการซูฮาร์โตและมาร์คอสยาวนาน  ทั้งหมดนั้นญี่ปุ่นหรือโลกตะวันตกไม่อยากเข้ามาลงทุนและทำให้ประเทศไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร  พูดง่าย ๆ  ประเทศที่ระบบการปกครองเป็นแบบ“ปิด” นั้น  โตยาก  ประเทศที่จะเจริญเติบโตได้ดีนั้น  ผมคิดว่าต้องมีปัจจัยสำคัญ 3-4 ประการก็คือ  หนึ่ง ระบบต้องเอื้ออำนวยนั่นก็คือเป็นระบบเปิดที่ต้อนรับต่างชาติหรือเปิดให้คนสามารถแสดงความสามารถได้เต็มที่ซึ่งระบบที่ดีที่สุดน่าจะเป็นระบบเสรีประชาธิปไตย  สอง คนต้องมีคุณภาพหรือมี IQ สูงพอ  สาม จำนวนคนและอายุของประชากรในวัยทำงาน  และสี่ก็คือ  ทรัพยากรภายในประเทศ  ดังนั้น  ประเทศที่กล่าวถึงทั้งหมดจึงเริ่ม  “ล้าหลัง”  มาเลเซียและไทยกลายเป็น  “เสือแห่งเอเซีย”  จากการลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตะวันตกและญี่ปุ่นโดยมีคู่แข่งน้อยเนื่องจากประเทศอื่นไม่พร้อม

  เวลาผ่านไปเกือบ 10-20 ปี  ประเทศต่าง ๆ  ในเอเซียเริ่มตระหนักว่าระบบการปกครองที่ผิดพลาดทำให้ประเทศล้าหลัง  ประเทศที่ปกครองแบบเผด็จการ  ไม่ว่าจะเป็นสังคมนิยมหรือแบบอื่นเริ่มเปลี่ยนแปลง  ระบบเศรษฐกิจกลายเป็นทุนนิยมและเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ  นำโดยจีน  ต่อมาเวียตนาม ลาวกัมพูชาก็ตาม  หลังจากนั้นระบบเผด็จการมาร์คอสและซูฮาร์โตก็ “ล่มสลาย” และสุดท้ายระบบทหารแบบเมียนมาร์ก็กำลังผ่อนคลายลง  นักลงทุนจากตะวันตกและประเทศที่ก้าวหน้าอย่างญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน จึงเริ่มมีตัวเลือกมากขึ้น  และด้วยการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ  รวมถึงคุณภาพของคน ค่าแรง และสาธารณูปโภค และตลาดท้องถิ่น  พวกเขาก็เริ่มเข้าไปลงทุนในประเทศที่ “ล้าหลัง” เหล่านั้นเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศดังกล่าวนั้นรู้ว่าตนเองยังด้อยกว่าก็เสนอเงื่อนไขในการลงทุนที่ดีกว่าประเทศที่เจริญมาก่อน  ผลก็คือ  เศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นก็เริ่ม  “เดินหน้า” การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะหลัง ๆ  นี้เพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจปีละ 5-7% เป็นอย่างต่ำ ในขณะที่ของไทยช้าลงมากโดยเฉพาะในช่วง 5-10 หลังนี้

  ระดับการพัฒนาของเวียตนามเวลานี้อยู่ที่ประมาณเท่ากับเมื่อเกือบ 20 ปีก่อนหรือประมาณช่วงที่เศรษฐกิจไทยเกิดวิกฤตในปี 2540  ตัวเลขการมีเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ทีวี  พัดลม  ตู้เย็น เครื่องซักผ้าต่อครอบครัวของเขาเวลานี้พอ ๆ  กับตัวเลขที่คนไทยมีเมื่อ 20 ปีก่อน  รถยนต์และแอร์อาจจะเท่ากับ 25-30 ปีแต่ผมคิดว่าจะเพิ่มขึ้นเร็วมาก  ส่วนมอเตอร์ไซต์นั้น  เวลานี้เขาน่าจะมีมากกว่าของเราในเวลานี้ด้วยซ้ำเนื่องจากมันเป็นพาหนะหลักในการเดินทางของทุกคนในเวียตนาม  ในส่วนของการผลิตซึ่งเน้นที่การส่งออกนั้น  เวียตนามก็ใช้กลยุทธเดียวกับของไทยเมื่อ 20 ปีก่อนนั่นก็คือ  ส่งเสริมให้ต่างชาติมาลงทุนและผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก  ตัวเลขการส่งออกนั้นเติบโตเร็วมากปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์จนเวลานี้คิดแล้วการส่งออกน่าจะไม่ต่ำกว่า 80% ของ GDPซึ่งสูงกว่าของไทย  ว่าที่จริงปริมาณการส่งออกไปอเมริกาของเวียตนามนั้นสูงกว่าของไทยไปแล้ว  แม้แต่ในยามที่การส่งออกกำลังชะลอตัวทั่วโลกในช่วงนี้  การส่งออกของเวียตนามก็ยังโตเป็นเลขสองหลัก  กระแสนี้น่าจะยังดำเนินต่อไปเพราะการลงทุนโดยตรงของเวียตนามยังมาแรงมาก  บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกเช่นซัมซุงเลือกเวียตนามมากกว่าไทยแล้ว

  เมื่อดูไป  เวียตนามนั้นเหมือนไทยมาก  เราอยู่ในเขตภูมิอากาศเขตร้อนใกล้เคียงกัน  ขนาดของประเทศก็พอ ๆ  กัน  ความสมบูรณ์ของที่ดินก็น่าจะใกล้กันและอุดมไปด้วยน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูก  คนเวียตนามเองก็เป็นคนที่ “ยืดหยุ่น” ไม่ “สุดโต่ง”  วัฒนธรรมและเชื้อชาติก็น่าจะเป็น  “2 ใน 3 จีน” ในขณะที่คนไทยก็อาจจะเป็น  “ครึ่งจีน”  ด้านศาสนาเองก็คงคล้าย ๆ  คนไทยที่บางทีผมก็งง ๆ แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวทางเศรษฐกิจ  ว่าที่จริง  ถ้ามาเดินในห้างร่วมกันเราก็คงไม่สามารถแยกได้ว่าคนไหนเป็นไทยหรือเวียตนามทั้งด้านหน้าตา ความสูงและรูปร่างรวมถึงอากับกริยาต่าง ๆ

  มีจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าเวียตนามจะได้เปรียบไทยในระยะยาวก็คือ  คนเวียตนามมี IQ สูงกว่าไทยในการศึกษาเรื่อง IQ ระดับสากลทุกครั้ง  นอกจากนั้น  เวียตนามมีประชากรถึง 90 ล้านคนและยังเพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็วในขณะที่ไทยมี 67 ล้านคนและเพิ่มขึ้นน้อยและอาจจะลดลงในอนาคต  ส่วนจุดอ่อนก็คือ  ระบบสาธารณูปโภคในปัจจุบันยังไม่ดีนัก  การเดินทางด้วยรถยนต์ในเมืองและต่างจังหวัดช้ามากประมาณไม่เกิน 30-40 ก.ม. ต่อชั่วโมง  อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้น่าจะได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว

  ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ  ระดับการพัฒนาของเวียตนามจะไล่กวดไทยอย่างรวดเร็วมาก  เพราะปัจจัยในการแข่งขันของเวียตนามกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ  ในขณะที่ไทยกลับด้อยลง  เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของกำลังคนที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและระบบการปกครองและภาพใหญ่อื่น ๆ ที่ดูเหมือนจะ  “ถอยหลัง” ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  ความรู้สึกจากทริปเวียตนามครั้งนี้ในด้านของร่างกายก็คือร้อนมาก  เพราะมันเป็นกลางฤดูร้อน  แต่ในใจในฐานะที่เป็นคนไทยและจะต้องแข่งกับเวียตนามนั้น  ผมรู้สึก  “หนาว” อย่างบอกไม่ถูก   

CR:https://www.settrade.com/blog/nivate/2015/05/11/1565